ดีแต่ปาก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม เวลาตั้งใจฟังธรรม เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้น รื้อค้นมานี่สิ่งนี้มันมีคุณค่ากับในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นการยืนยัน ยืนยันเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญกุศลมาขนาดนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโกในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีขนาดนั้น เวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขารับประกันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความรู้เท่าเราโดยอาฬารดาบส อุทกดาบส เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ เวลามีคนค้ำประกันน่ะท่านปฏิเสธ แต่เวลาท่านตรัสรู้ธรรมเองโดยชอบท่านยืนยันในใจของท่าน เห็นไหม ท่านยืนยันในใจของท่าน นั่นน่ะเสวยวิมุตติสุข เสวยวิมุตติสุขมันมีคุณค่าไง
คำว่า "มีคุณค่า" นี่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนาขนาดนั้น เวลาเข้าไปสัมผัสธรรมอย่างนั้น มันเป็นการยืนยันในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปี นี่ ๒,๐๐๐ กว่าปีมันมาจากไหน มันมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ มาในใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มาในใจของสังฆะในสงฆ์ในสมัยพุทธกาล แล้วสงฆ์ในสมัยนี้ก็สมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไง
นี่ฟังธรรมๆ ฟังธรรม ธรรมะมันมีคุณค่าอย่างนั้นไง ถ้ามันมีคุณค่าอย่างนั้น สิ่งที่มีคุณค่าอย่างนั้นเป็นสัจธรรมอย่างนั้น แล้วมันส่งต่อกันมา ๒,๐๐๐ กว่าปี เห็นไหม เวลาบอกว่า เวลาฟังธรรมๆ นี่เป็นสิ่งที่น่าเอือมระอา มันเอือมระอามาจากกิเลสไง กิเลสมันอยากกินอิ่มนอนอุ่นไง เวลากิเลสมันกินอิ่มนอนอุ่นมันพอกพูนกิเลสในใจของมันไง เวลามันพอกพูนในใจกิเลสของมันแล้วมันก็ทำความเลวทรามในใจของมันไง
แต่เวลาฟังธรรมๆ นี่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย แต่ถ้ามันเป็นการสุมหัวกันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม มันน่ารื่นเริงไง แต่ถ้ามันเป็นธรรม ฟังธรรม เห็นไหม ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพราะกิเลสมันกลัวธรรมไง มันกลัวสัจธรรม มันกลัวความจริง มันไม่กล้าสู้กับสัจจะความจริง มันจะหลบหลีกอยู่ในสังฆะนั้น
แต่ถ้าเป็นจริง ความจริงๆ เห็นไหม ความจริงมาตีแผ่ ตีแผ่สิ่งที่ฟังธรรมๆ เวลาฟังธรรมนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม นี่วันมาฆบูชา สงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย เวลาเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลยนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ทำไมต้องแสดง นั่นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนะ
ไอ้พวกเรากิเลสเต็มหัว เวลากิเลสเต็มหัวสิ่งที่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมนี่สัจธรรมอันนั้น ถ้าสัจธรรมความจริงอันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ไง ถ้าไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงสิ่งที่แสดงออกมานั้นแสดงออกมาจากอะไร
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงที่เราเข้าไม่ถึง ความจริงที่เรารู้ไม่ได้ไง ความจริงที่เรารู้ไม่ได้เพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปกคลุมในหัวใจของเราไง ถ้ามันปกคลุมหัวใจของเรานะ แล้วของเรา เห็นไหม เราก็ต้องการความสะดวกสบาย ความสะดวกสบาย เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านสะดวกสบาย ท่านบอกนั่นล่ะเป็นทางออกของกิเลส นั่นน่ะเป็นทางเสื่อม มันจะมีแต่ทางเสื่อม มันมีแต่ทางล้มเหลว มันไม่มีความจริงหรอก
แต่ความทุกข์ความยาก นี่คนมักง่ายมันจะได้ยาก ไอ้คนที่มุมานะบากบั่น คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แล้วความอุตสาหะ ความอุตสาหะด้วยความถูกตรงดีงาม ไม่ใช่ความอุตสาหะแบบคนไม่มีปัญญาไง เวลาความอุตสาหะของคนไม่มีปัญญานะ อุตสาหะขนาดไหนมันก็ไม่ได้ผลหรอก ถ้าอุตสาหะ เห็นไหม มันต้องเพียรชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความจริงต้องตามความชอบธรรม แล้วความชอบธรรมมันอยู่ที่ไหน
ความชอบธรรมของกิเลสมันก็ความชอบธรรมของเรานี่ ถ้าถูกใจล่ะเป็นธรรม ถ้าผิดใจเป็นเรื่องกิเลส แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะฝืนกิเลสของตนๆ ก็ฝืนในใจของตนนั่นนะ ฝืนความพอใจของตน ใจมันพอใจสิ่งใดล่ะ มันก็พอใจแต่มันก็จะนอนกระดิกตีนอยู่นั่นนะสิ
แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริง เห็นไหม ดูสิ มันตื่นตัวทั้งนั้นนะ มันตื่นตัวมันจะรื้อค้นมันจะหาตัวตนของเราให้เจอ ถ้าหาตัวตนของเราให้เจอ เห็นไหม นี่ที่เรามาบวชกันนี่ เราบวชกันแล้วเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบใจเราเข้ามา เห็นไหม ในพระไตรปิฎกเขาบอกไว้แล้ว ถ้าใครทำความสงบของใจได้นี่มีบ้านมีเรือนหลังหนึ่งที่ให้อยู่อาศัย ดูสิ คนเรา เห็นไหมคนไร้บ้านๆ ต้องอาศัยนอนตามชายคาบ้านคนอื่นทั้งนั้น นี่เราก็มาอาศัยนอนชายคาในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบ้านในเรือนของสังฆะ ในบ้านในเรือนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เราก็บวชมาแล้วก็มาอาศัยธรรมวินัยนี้ไว้หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ดำรงชีพอยู่ด้วยธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตัวเองไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันในหัวใจของตน ถ้ามีสิ่งใดที่เป็นชิ้นเป็นอันในหัวใจของตน นั่นนะเรามีบ้านมีเรือนของเราไง ความอบอุ่นของใจ ใจมันอบอุ่นนะ
นี่ที่เรารื้อค้นๆ เห็นไหม เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใครๆ ก็รู้ได้ผลของทุกข์น่ะ ใครๆ ก็พูดถึงความทุกข์นั้นได้ แต่ความทุกข์นั้นเป็นความทุกข์เปลือกๆ ไง ยังไม่เห็นความทุกข์จริงในหัวใจไง ถ้าความทุกข์จริงในหัวใจ เห็นไหม อวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้จักตัวตนของตน ถ้าไม่รู้จักตัวตนของตนมันก็เป็นอวิชชา แต่รู้จักตัวเรา เห็นไหม เป็นวิชาล่ะๆ เพราะวิชามันจะเริ่มค้นคว้า มันจะเริ่มค้นแสวงหาความจริงของตน ถ้าความจริงของตน นั่นน่ะถ้ามันมีความจริงในใจของตนมันเป็นอย่างนั้น
นี่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมตอกย้ำกันอย่างนั้น ถ้าฟังธรรมตอกย้ำอย่างนั้นนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว เห็นไหม สิ่งที่มันแก้ความสงสัยของตน นี่ตอกย้ำความเป็นจริงในใจของตน ถ้าตอกย้ำความจริงในใจของตน นั่นเป็นความรื่นเริงอาจหาญไง เรามาฟังธรรมกันเพราะเหตุนี้ ถ้าไม่ฟังธรรมด้วยเหตุนี้ มันมีแต่ความเหลวแหลก มีแต่ความเหลวไหล เหลวไหลทั้งนั้น
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์ ถึงวัสสการพราหมณ์ ถามถึงวัชชีบุตร นี่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บอกถึงข้อปฏิบัติของเขา ๑๖ ข้อหรือ ๑๒ ข้อนั่นนะ นี่หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ให้เชื่อผู้ใหญ่ ให้เชื่ออะไรนี่ ถ้ามีความสามัคคีกันอย่างนั้นนะอชาตศัตรูไปตีเท่าไหร่ก็ไม่แตก ให้วัสสการพราหมณ์เข้าไปยุไปแหย่ ให้มันแตกให้มันแยก พอมันแตกมันแยกเข้าไปโจมตีนี่แตกหมดเลย
นี่ก็เหมือนกัน สามัคคีอุโบสถ สิ่งที่เราลงสามัคคีอุโบสถ เห็นไหม สามัคคีอุโบสถสิ่งที่เป็นความสามัคคี สงฆ์ที่มีความสามัคคีกัน สงฆ์ที่มีความรื่นเริงต่อกัน สงฆ์ที่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ช่วยเหลือเจือจานกัน เนี่ยสงฆ์จะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ไม่ใช่ขัดแย้งๆ กันตลอดเวลา ขัดแย้งกันมันมีประโยชน์อะไร มันไม่มีประโยชน์แม้แต่เราล่ะ ตัวเราเป็นสกั๊งค์ มันเหม็น เข้าที่ไหนก็ไม่ได้
นี่แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ อยู่ที่ไหนเวลาออกพรรษาแล้ว พระถ้าได้รับกฐินแล้ว เวลาตัดเย็บผ้าแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องก็ไปให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้ให้ๆ นี่สิ่งที่แก้ให้ๆ เหมือนกับครูบาอาจารย์เราเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม เวลาใครไปประพฤติปฏิบัติมีสิ่งใดที่ลังเลสงสัยในใจก็ไปหาท่าน มีอะไรไปหาท่านๆ เรามีอะไรลังเลสงสัย นั่นลังเลสงสัยนั่นนะภาษาธรรม ภาษาธรรมคือภาษาใจ ภาษาใจคือภาษาที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาภาษาประพฤติปฏิบัตินะสุขทุกข์ในใจทุกคนก็รู้ได้
เวลาคนเรา เห็นไหม ภาษานี่ดีแต่ปาก เวลาปากกับปากดีมาก เวลาปากนะเที่ยวทิ่มเที่ยวตำเขา นี่ดีแต่ปากไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงเลย ดีที่หัวใจสิ ถ้าใจมันดีนะ เวลาปากมันดี ดีจากใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ ด้วยอะไร ก็ด้วยพระโอษฐ์ ธรรมะจากพระโอษฐ์ๆ ธรรมะจากปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นความจริงไง
แต่ถ้าเป็นเทวทัตๆ น่ะ นั่นไงดีแต่ปาก นี่ขอพรๆ ที่จะทำตามความเห็นของตน แต่ในใจของตนสกปรก สกปรกเพราะอะไร เพราะตัวเองจะปกครองสงฆ์ไง ตัวเองจะมีอำนาจไง อยากมีอำนาจมีบารมี อยากใหญ่อยากโต อยากจะปกครองสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ชราภาพแล้ว ควรจะยกให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ปกครองสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวายังไม่ให้เลย
สิ่งที่ให้ปกครองสงฆ์ ให้สงฆ์ปกครองกันเอง สงฆ์ที่ปกครองกันเอง สงฆ์ที่มีสัมมาทิฏฐิ สงฆ์ที่มีความถูกต้องดีงามเขาจะปรึกษากัน เขาจะใคร่ครวญ นี่หาผลประโยชน์คุณงามความดีต่อกัน นั่นนะให้ปกครองกัน ปกครองกันโดยสภาคะ โดยสังฆะ โดยสงฆ์นี่เขาปกครองกันอย่างนั้น ไม่ใช่ไอ้ดีแต่ปาก ทิ่มตำเขาไปทั่ว แล้วจะปกครองเอาอะไรมาปกครอง นี่ในนี้ใจมันสกปรกไง
แต่ถ้าใจมันสะอาดนะๆ เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่วิมุตติสุขๆ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะจากพระโอษฐ์ๆ มันก็ออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ สุดท้ายแล้ว ๒๐๐ ปีแล้วถึงได้มาจดจารึกกันนะ ถึงได้จารบนใบลานมา แล้วก็สืบต่อกันมาๆ
สืบต่อกันมานั้นมันก็เป็นทฤษฎีทั้งนั้น เวลาพระเจ้าอโศกมหาราช เห็นไหม นี่เวลาอาจารย์ของท่าน ๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว เวลาพระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้มาเผยแผ่ธรรม ทำสังคายนา เวลาคนที่บุญวาสนานะ เวลาเข้ามาสู่สัจจะความจริงนะ เวลาเผยแผ่ธรรมนะมันเป็นประโยชน์สร้างประโยชน์ๆ คำว่าสร้างประโยชน์ก็สร้างประโยชน์เพื่อตัวตนก่อน เพราะผู้ใดทำประโยชน์ผู้นั้นจะได้บุญกุศลนะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ทำสิ่งใดล่ะ นี่ไปกวาดลานเจดีย์ ไปส่งเสริมสิ่งที่เป็นคุณธรรม สร้างสมบารมีแต่ละภพแต่ละชาติ สร้างสมกันมาอย่างนั้นจนจิตใจมันแก่กล้าขึ้นๆ พอแก่กล้าขึ้นเป็นหัวหน้าสัตว์ เห็นไหม ดูสิ เสียสละชีวิตเพื่อหมู่คณะ เสียสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องฝูงของตน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสุตตันตปิฎก ในพุทธประวัติมีมหาศาลเลย เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไปไม่มีต้นไม่มีปลาย ทำคุณงามความดีมาๆ อย่างพวกเรานี่ปรารถนาพระโพธิสัตว์ๆ เห็นไหม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้พยากรณ์นะ มันยังเปลี่ยนแปลงได้ไง มันยังพลิกแพลงได้ไง เช่นหลวงปู่มั่นท่านก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ถึงเวลาแล้วเห็นไหม ท่านระลึกของท่าน ถ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ต่อไปข้างหน้าก็จะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่ในชาติปัจจุบันนี้ถ้าเราประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ เราก็จะเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน
แต่พระอรหันต์ที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม ดูสิ เวลาลงมาจากดาวดึงส์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะเป็นบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเปิดโลกธาตุนี่ แต่นั้นก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ฉะนั้นเมื่อเป็นพระอรหันต์เหมือนกันเลยตัดใจ นี่ว่าเป็นสาวกสาวกะ ลาพระโพธิสัตว์นั้นแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนมาเป็นหลวงปู่มั่นเรานี่ ท่านมีอำนาจวาสนาบารมีอย่างนั้น ได้สร้างสมบารมีมาอย่างนั้น หัวใจที่คิดดีๆ ใฝ่ดีๆ มาอย่างนั้น
แต่ถ้าดีแต่ปาก ปากมันดี แต่หัวใจมันเลวทราม พอหัวใจมันเลวทรามมันปกปิดกิเลสตัณหาความทะยานอยากเอาไว้ มันมีผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ของกิเลสไง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของธรรมนะ ถ้าผลประโยชน์ของธรรมซื่อตรงไง พูดอย่างไร ทำอย่างนั้น ทำอย่างไร พูดอย่างนั้น คิดอย่างไร ทำอย่างนั้น
แต่ถ้ามันผลประโยชน์ทับซ้อน นี่ใจมันสกปรกไง มันคิดอย่างหนึ่ง เวลามันพูดมันพูดไปอีกอย่างหนึ่ง เวลาพูดๆ ถึงธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พวกดีแต่ปาก แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนาบารมีนะ เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจๆ ปากมันดีแต่ใจมันสกปรก ถ้าใจมันสกปรก เห็นไหม นี่ศึกษา เราศึกษาด้วยปาก ศึกษาด้วยสมอง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
เวลาธรรมะจากพระโอษฐ์ๆ จากโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันสะอาดบริสุทธิ์มาตั้งแต่จากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ นี่เวลาเราศึกษา เห็นไหม ศึกษามาด้วยอายตนะ ด้วยการฟังมา ถ้าฟังมา เห็นไหม มันมาจากภายนอกไง ศึกษามาก็จำมาได้ พอจำมาได้ก็แต่ดีปาก ปากมันก็พูดได้แต่ใจมันไม่ยอมรับไง
พอใจมันไม่ยอมรับที่เรามาบวชเป็นพระกันนี่ เพราะเราจะมาประพฤติปฏิบัติ เอาหัวใจของเรา เห็นไหม ดูแลหัวใจของเราให้มันเข้าสู่สัจธรรม ถ้าดูแลหัวใจของเรา ใจที่มันคึก ใจที่มันคะนอง ใจที่มันทุกข์ที่ยากๆ สิ่งที่ผลประโยชน์ที่ได้รับมาคือความทุกข์ แต่ใจที่มันสงบระงับใจที่มันปลอดโปร่ง ผลของมันคือความสุข มันยืนยันมาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ยืนยันมาจากหัวใจ
แล้วคนที่มีอำนาจวาสนานี่ เห็นไหม เวลาเขาซื่อตรงนี่ใจมันทุกข์อย่างนี้ มันพูดออกไป มันจะพูดออกไปมันก็มีแต่ความทุกข์ไง มีความทุกข์เวลาเข้าไปหาครูบาอาจารย์ เห็นไหม เวลาพูดออกมามันพรั่งพรูออกมาจากความทุกข์ทั้งนั้น มันไม่มีความสุขเลย แต่ถ้าปากมันดี หัวใจมันมีแต่ไฟลน หัวใจมันมีแต่ความเร่าร้อน แต่เวลามันพูดๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง นี่ดีแต่ปากๆ มันดีอย่างนั้นไง ปากมันดีแต่ใจมันทุกข์ พอใจมันทุกข์แล้วมันรักษาใจของมันไม่ไหวไง รักษาใจไม่ได้มันก็เปลี่ยนแปลงพลิกแพลงออกมาเป็นสิ่งที่ทิ่มตำคนอื่นไง
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เพราะเขาปิดกั้นไว้ ดูสิ เวลาที่เราประพฤติปฏิบัติกัน เห็นไหม มักน้อยสันโดษ อายตนะ เห็นไหม ดูสิ ไอ้โปฐิละๆ ใบลานเปล่า เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปฐิละใบลานมาเปล่ามาแล้วหรือ โปฐิละใบลานเปล่าไปแล้วหรือ เพราะโปฐิละเขามีสติมีปัญญาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนี้มันต้องมีเหตุผลทั้งนั้น ถึงพยายามจะออกทดสอบ คือจะออกปฏิบัติ
เวลาปฏิบัติก็ไปปฏิบัติกับสามเณรน้อย สามเณรน้อยสอนน่ะ ร่างกายนี้เปรียบเหมือนจอมปลวก ปิดซะ ๕ รู ตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดหัวใจไว้ รอจับเหี้ยตัวนั้นน่ะ เหี้ยตัวนั้น ไอ้เหี้ยตัวในใจนั่นนะจับมันให้ได้ นั่นไง ท่านก็พิจารณาของท่าน เห็นไหม นี่ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดทวารทั้ง ๕ เปิดหัวใจไว้ๆ รอจับเหี้ยตัวนั้นไง
ทำความสงบใจเข้ามาๆ เห็นไหม ไอ้เหี้ยตัวนั้นคือไอ้ใจดวงนั้น ใจดวงนั้นไอ้อวิชชาตัวนั้น ไอ้สิ่งที่มันอวิชชาครอบงำอยู่นั่น นี่ไง เวลาโปฐิละๆ ใบลานเปล่าๆ นี่จำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เห็นไหม มีลูกศิษย์ลูกหา ๕๐๐ เทศนาว่าการได้ทั้งนั้น แต่หัวใจมันว่างเปล่า ว่างเปล่า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนแล้วยังได้สตินะ ยังคิดว่าถ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนี้ต้องมีเหตุผล นี่ไปใคร่ครวญของตนๆ พอใคร่ครวญของตนเห็นโทษของมัน เห็นไหม ลักสละหนีออกจากหมู่คณะ คือมีลูกศิษย์ ๕๐๐ หนีจากลูกศิษย์ ๕๐๐ นั้นไป ไปวัดกรรมฐานไปขอประพฤติปฏิบัติ ไปขอทดสอบไง แบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกใบลานเปล่าๆ นะ ความจำเปล่าๆ ความรู้เปล่าๆ ความรู้ของตนมันไม่มีไง
นี่ไง มันมีแต่ปากแต่ใจมันสกปรกไง พอใจมันสกปรกนี่เวลาจะศึกษา เห็นไหม สามเณรน้อยบอกว่าเราจะเอากอไผ่ เข้าไปตัดกอน้ำให้ห่มผ้าไป เราจะตักน้ำให้ห่มผ้าลงไป ทรมานๆ ว่าจะยอมลงหรือไม่ไง ถ้ามันไม่ยอมลงมันทำไม่ได้ นี่มันก็ดีแต่ปาก ดีแต่เปลือกน่ะ แต่หัวใจมันปลิ้นปล้อน มันลงไม่ได้หรอก
แต่ถ้ามันลงได้มันลงอะไร ลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลงในสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าลงในสัจจะความจริงอันนั้น เนี่ยเห็นว่าจริงใจๆ ถึงบอกถึงจอมปลวกนั้น ถ้าถึงจอมปลวกนั้นพยายามปิดทวารทั้ง ๕ จับเอาตัวเหี้ยในใจของเราให้ได้ ถ้าจับตัวเหี้ยในใจของเราได้มันสงบระงับ ถ้าสงบระงับแล้วความกระทบกระเทือนไม่มีหรอก ความกระทบกระเทือนนะมันก็ไอ้เหี้ยตัวนั้นก่อน ไอ้เหี้ยในใจนั้นมันกระทบกระเทือน ไอ้เหี้ยในใจดวงนั้นมันคิดพลิกแพลง มันคิดเล่ห์กลเพื่อจะเหยียบย่ำคนอื่น เพื่อจะอยู่เหนือเขา ไอ้เหี้ยตัวนั้นนะ
ถ้าไอ้เหี้ยตัวนั้นมันสงบลง มันจะไปเหยียบย่ำใครได้ มันจะไปทำลายใครได้ มันทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะไอ้เหี้ยตัวนั้นมันแสดงออกนะ ไอ้เหี้ยตัวนั้น เหี้ยมันฟาดงวงฟาดงาในใจของเราๆ แล้วยังจะไปเหยียบย่ำคนอื่น นี่มันดีแต่ปาก ปากมันดีแต่ความจริงมันไม่มีใจไง
แต่ความจริงในใจ เห็นไหม เวลาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระนี่เราเสมอกันด้วยศีล ๒๒๗ แล้วศีล ๒๒๗ เห็นไหม มันต้องลงอุโบสถสามัคคี มันต้องมีสามีจิกรรม ร่วมกระทำกรรมด้วยกัน นี่สามีจิกรรม เห็นไหม ดูสิ เวลาพระเรานะ ถ้าขาดตกบกพร่องมีอาบัติหนัก ห้ามร่วมสามีจิกรรม ห้ามลงอุโบสถ ถ้าลงอุโบสถแล้วนี่เป็นโมฆะ ถ้าลงเป็นโมฆะเป็นโมฆะทันที เป็นโมฆะก็การกระทำไม่มีผล
เวลามันต้องอยู่กรรม อยู่กรรมแล้วต้องอัพภานขึ้นมาให้เป็นเสมอกันเป็นปกตัตตะภิกษุ เป็นภิกษุเสมอกันถึงจะร่วมอุโบสถสามัคคีอุโบสถสังฆกรรมได้ ถ้าอุโบสถสังฆกรรมได้ เห็นไหม นี่มันเสมอกันๆ มันมีใครใหญ่ใครต่ำ มีใครสูงใครต่ำกว่ากัน ไม่มีหรอก มันมีแต่คุณธรรมๆ เห็นไหม คนคนนั้นเป็นคนดี เห็นไหม ปากกับใจตรงกัน ซื่อตรงต่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้อาบัติเล็กน้อยก็ไม่ก้าวล่วง แม้แต่คำสอนของครูบาอาจารย์ก็ยกไว้ เห็นไหม ยกไว้ ดูสิ เวลาขอนิสัยๆ นี่ขอนิสัยอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์เห็นไหม สิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องก็มีข้อวัตรปฏิบัติ อุปัชฌาย์ก็ต้องดูแลลูกศิษย์ลูกหา
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ค้ำจุนกัน ให้ดูแลกัน ให้สามัคคีกัน ให้มั่นคงต่อกัน เพื่อ! เพื่อหัวใจ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความสะดวก ตรงนี้สำคัญมากที่สุดเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านปกครองดูแล ท่านห่วงตรงนี้ที่สุด ห่วงตรงที่ว่านี่เวลาจะประพฤติปฏิบัติแสนทุกข์แสนยาก
เวลาคนปฏิบัตินะ เวลาเรื่องนรกสวรรค์เขาก็ไม่เชื่อกันอยู่แล้ว โลกน่ะแล้วเรื่องกิเลสเหรอ ไอ้ทุกกฎตดก็หาย ปาจิตตีย์ขี้ก็หาย เราฟังพระเขาพูดกันอย่างนี้นะ เขาดูถูกขนาดนั้นนะ ทุกกฎตดก็หาย ปาจิตตีย์ขี้ก็หาย มันไม่เห็นเลย มันไม่เห็นถึงธรรมวินัยเลย มันไม่เห็นถึงความเป็นจริงในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วมันยังพูดเหยียบย่ำ พูดย่ำยี พูดดูถูกดูแคลนแล้วมันจะเชื่ออะไร ถ้ามันไม่เชื่ออะไรมันก็ไม่ลงใจใครทั้งสิ้นๆ มันจะทำอะไร มรรคผลมันจับต้องได้อย่างไร
แต่เวลาทุกข์ในหัวใจมันเผาลนอย่างไร มันเผาลน ทุกข์ไม่ต้องพูดถึง อดอาหารมื้อเดียวก็รู้ หิวไม่กินน้ำก็รู้ ทุกข์แล้วนั่งอยู่ไม่ลุกก็รู้ ทุกข์มันมีของมันอยู่แล้วนะ ทุกข์คือกิริยาที่ทนอยู่ไม่ได้ แล้วทนอะไรได้บ้าง ใครทนอะไรได้บ้าง ไม่มีใครทนอะไรได้เลย เรียกร้องหาแต่คนมาคอยดูแล เรียกร้องแต่ให้คนคอยช่วยเหลือ แต่ไม่มีขันติบารมี ไม่มีความอดทนใดๆ ทั้งสิ้น นี่อ่อนแอ ไม่สู้ แล้วเราจะไปสู้กิเลสอย่างไร
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงนักรบ เวลาเราภูมิใจกันนะ พระป่า พระป่านี่เป็นนักรบ เป็นพระปฏิบัติ เวลานักรบรบกับอะไร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เวลานักรบน่ะนักรบเขาไม่ใช่ไปรบที่ไหน กองทัพที่รบกันเขามียุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มีอาวุธ เขาถึงออกรบได้ แล้วพระที่เป็นนักรบรบกับอะไร รบกับใคร ถ้ายังปากดีอยู่นี่จะรบกับใคร เวลาจะรบเขาสงบปากสงบคำลง อ่อนน้อมถ่อมตน
เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณท่านอ่อนน้อมถ่อมตน เวลากับสังคมนะท่านตัวเล็ก ท่านแทบจะไม่มีตัวตนในสังคมเลย แต่จะมีอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ เวลาแสดงธรรม เวลาหลวงปู่มั่นแสดงธรรมนี่ โอ้โฮ ฟ้าผ่า อยู่หลวงปู่เจี๊ยะมาหลวงตาท่านบอกเลย ถ้าเสียงดังขึ้นนะ โอ้ ฟ้าร้องๆ พอฟ้าร้องทุกคนนะรีบวิ่งเข้าไปเลยนะ จะไปฟัง เพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติท่านจะคอยฟังว่าท่านพูดอะไร เพราะสิ่งนั้นพูดออกมามันมีคุณธรรม มีธรรมะออกมาจากเสียงนั้น เวลาใครฟังแล้วมันสะเทือนใจทั้งนั้นน่ะ นี่เวลาหลวงปู่มั่นเสียงดังขึ้นมาทุกคนจะวิ่งเข้าไปเลย แล้วหลวงตาท่านพูดประจำ เหมือนลูกน้อยๆ เห็นแม่ขึ้นมา หัวอกแม่ได้กินนมน่ะ ลูกน้อยหิวกระหายได้น้ำนมเพื่อดำรงชีพ
นี่ก็เหมือนกัน พระปฏิบัติขึ้นมาได้เสียงธรรม เสียงธรรมขึ้นมาให้รักษาหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ผู้ที่หิวกระหายนั้น เวลาที่จะองอาจกล้าหาญก็องอาจกล้าหาญตอนแสดงธรรมนี่ ตอนแสดงธรรมนี่ต้องขาด! ขาด! ไม่มีสิ่งใดขวางหน้า ขาดหมด เพราะมันเป็นสัจจะมันเป็นความจริง แต่ถ้าเป็นสังคม ไม่มีตัวตน ครูบาอาจารย์ของเรานี่ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีใครต้องการให้ใครรู้จัก อ่อนน้อมถ่อมตน
แต่อย่าให้แสดงธรรมนะ การแสดงธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฤทธิ์ที่ดีที่สุดคือการบันลือสีหนาท เวลาบันลือสีหนาทน่ะกิเลสหมอบหมด กิเลสกลัวแต่โดยสามัญสำนึก นี่เวลาอยู่ด้วยกันใครรู้ว่าใครมีคุณธรรม ใครไม่มีคุณธรรม คนจะมีคุณธรรมเขาก็จะรู้ตอนที่แสดงธรรมนี่แหละ ตอนพูดนี่แหละ คนโง่พูดมาพูดแบบโง่ๆ คนฉลาดพูดออกมานี่มีเหตุมีผล หลวงตาสอนประจำ "ในโลกนี้คนโง่มากกว่าฉลาดมาก" ถ้าคนโง่ไม่ต้องไปฟังมัน คนโง่นะกระแสสังคมไม่ต้องไปยุ่งกับมัน
คนโง่พูดคนหนึ่งกระต่ายตื่นตูม ใครพูดคนหนึ่งแม่งเชื่อหมดเลย คนฉลาดนะพูดเป็นสิบคนร้อยคนมันไม่ฟัง มันฟังไม่รู้เรื่อง คนโง่นะ นี่ดูสิ เวลาลูกตาลตกน่ะ ฟ้าผ่าๆ นี่มันวิ่งไปตายทั้งหมดเลย พญาราชสีห์นะสั่งให้หยุดเลย อะไรเกิดขึ้น ฟ้าผ่าๆ ที่ไหน ที่โคนต้นตาล ไปดูที่โคนต้นตาลฟ้าอะไรมันผ่า ไปถึงโคนต้นตาลลูกตาลมันตกลงมา กระต่ายมันตื่นตูม คนโง่ พากันนะขาหัก พากันตกเหวตกบ่อ พากันเสียชีวิตทั้งนั้นเลย คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ถ้าคนโง่มากไปฟังมันทำไม อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่สน ไร้สาระ
โลกธรรม ๘ มันไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจของผู้ที่มีคุณธรรม โลกธรรม ๘ แต่ถ้าเป็นเวลาธรรมแสดงออก ธรรมแสดงออกหมายถึงว่าเวลาบันลือสีหนาท เวลาที่มันแสดงธรรมนะ นั่นนะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมมีจริงหรือเปล่า ถ้าพระธรรมมีจริงพระธรรมมันอยู่ไหน แล้วพระธรรมที่ออกมามันออกมาเป็นอย่างไง นี่เวลาแสดงธรรม นั้นแหละถึงจะรู้ว่าโง่หรือฉลาด จริงหรือเท็จ เวลามันเท็จขึ้นมามันพูดลูบๆ คลำๆ งูๆ ปลาๆ จะว่างูก็เป็นปลา จะว่าปลาก็เป็นงู ก็เลยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
แต่เวลาเป็นธรรมแล้ว ต้อง! ปลาเป็นปลา งูเป็นงู ธรรมเป็นธรรม กิเลสเป็นกิเลส ไม่มีก้ำกึ่ง ไม่มี! ถ้ามันเป็นจริง เห็นไหม ไม่ใช่ดีแต่ปาก ถ้าดีแต่ปากมันทิ่มตำเขา แอบอ้างเขาไปทั่ว แล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย ไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ไม่เป็นประโยชน์กับตนก่อนเลย ทำลายตนก่อนเลย ทำลายตนทำลายความน่าเชื่อถือของตน นี่ทำลายหมู่คณะ ทำลายความสงบร่มเย็น ทำลายคนที่มีโอกาสจะประพฤติปฏิบัติได้ให้ปฏิบัติไม่ได้ ทำลายคนที่มีศรัทธาความเชื่อเพื่อมีเป้าหมายของเขา ทำลายให้มันเสื่อมจากศรัทธา ทำลายทั้งนั้นเลย ทำลายตั้งแต่ตนก่อน แล้วก็ทำลายคนอื่นทั้งนั้นเลย ถ้ามันดีแต่ปากที่มันมีอวิชชาในหัวใจของมัน
แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ เวลาเขาแสวงหา เขาแสวงหาธรรมนี่ แสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เป็นผู้นำที่ดี ถ้าเป็นผู้นำที่ดี เวลาเข้าไปแล้ว เห็นไหม ทุกคนต้องสงบระงับ ถ้ามันมีความขัดแย้งในสิ่งที่เรารู้เราเห็น เพราะมันเป็นเรื่องจริตนิสัย ก็ยกให้สู่เป็นจริตนิสัยของเขา เราให้ดำรงตนอยู่ในข้อวัตรปฏิบัตินั้น เพราะว่าข้อวัตรปฏิบัตินั้นมันเป็นกติกาสังคม มันเป็นกติกาของพระป่า พระป่าเขาทำกันอย่างนั้น พระป่าตั้งแต่ท่านอาจารย์ใหญ่คือหลวงปู่มั่นท่านวางข้อวัตรปฏิบัติมาให้เป็นเครื่องอยู่ของใจ ให้หัวใจที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ให้มันอาศัย อาศัยเพาะเชื้อจนกว่าหัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมา พอมันเข้มแข็งขึ้นมา เห็นไหม มันทำจนเป็นจริตนิสัย ทำจนเป็นความคุ้นเคย ทำจนแสดงออก
นี่จิตใจมันยิ่งใหญ่ขึ้นมา พอจิตใจมันยิ่งใหญ่ขึ้นมา สิ่งที่ทำนั้นทำเพื่อใคร ก็ทำเพื่อสังคม ทำมาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย วัตรปฏิบัติเห็นไหม วัตรปฏิบัติขึ้นมานี่ วัตรปฏิบัติ วัตรในวัจกุฏีวัตรคือวัตรในห้องน้ำ วัตรในศาลา วัตรในที่ล้างบาตร วัตรในโรงไฟ ทำมาเพื่อความเป็นอยู่ของภิกษุ ภิกษุต้องอยู่ในข้อวัตรนั้น เพราะต้องได้อาศัย การอยู่อาศัยด้วยข้อวัตรนั้นก็ทำให้สิ่งที่เราจะใช้สอยนั้นสะอาด ทำสิ่งที่ใช้สอยนี้เพื่อสุขอนามัย เพื่อสุขอนามัยของร่างกายแล้วถ้าประพฤติปฏิบัติไปก็จะเป็นสุขอนามัยของหัวใจ ถ้าหัวใจมันมีสุขอนามัยขึ้นมา เห็นไหม มันมีศีล มันมีช่องทาง มันไม่อั้นตู้ไง ไม่ใช่ปฏิบัติไปแล้วจะมีแต่มืดบอดไง ปฏิบัติไปแล้วไม่มีหนทาง มืดตื้อเลย นี่หลวงปู่อ่อนท่านบอกเลย มรรค ๘ มืด ๘ ด้านเลย มืดตื้อเลย นี่เพราะอะไร เพราะปากดีไง หัวใจมืดบอดไง ไม่มีธรรม ไม่มีสิ่งใดให้มีแสงสว่างให้ใจมันเดินไปได้ไง
แต่ถ้ามันมีศรัทธามีความเชื่อ มันมีหัวใจในหลักธรรมนะ นี่ทำตัวให้ดีๆ ทำตัวเราให้ดี อย่าไปเบียดเบียนคนอื่น อย่าไปกระทบกระเทือนใครทั้งสิ้น การกระทบกระเทือนนะสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น กรรมคือการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไอ้คนทำนั้นล่ะกิตติศัพท์ของมันร่ำลือ ใครๆ ก็ได้รับผลกระทบ แต่ผลกระทบมันไปนั่น กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม แต่ถ้าคนทำคุณงามความดีในสังคมก็มองเห็นผิด เวลาครูบาอาจารย์ที่ทำคุณงามความดีนะ สังคมเขาเบียดบี้สีไฟนะมันก็เรื่องของสังคม ถึงเวลาแล้วนะ ดูสิ โครงการช่วยชาติของหลวงตานะ พอเสร็จโครงการช่วยชาติไปดูสิ ใครๆก็มาขอขมา ใครๆ ก็ขอขมา คนนั้นปากเบี้ยว คนนั้นปาก คนนั้นเป็นอัมพฤกษ์ คนนั้นลุกไม่ได้ นี่เวลาสำนึกได้ก็มาขอขมาๆ นั่นไง เพราะอะไร เพราะเขาทำของเขาเอง
นี่ก็เหมือนกัน ใครทำคนนั้นได้ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แล้วใครทำกรรมสิ่งใดกรรมนั้นมันให้ผลกับจิตดวงนั้น จะหน้าชื่น ฉันไม่รู้ ฉันไม่เห็น เออ กรรมคือกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันต้องได้ของมันอยู่วันยังค่ำ กรรมมันให้ผลของมันแน่นอน ไม่ต้องมาจัดฉาก ไม่ต้องมาสร้างภาพ ไอ้สร้างภาพนะมันเป็นการลงทุนนะ
ทางโลก เห็นไหม การประชาสัมพันธ์ๆ ต้องใช้เงินใช้ทอง อย่างเช่นการเมืองน่ะ เขาทำงานการเมืองกัน การทำงานการเมืองก็แจกตังค์ไง ซื้อให้เขารักกูนี่ ทำงานการเมืองน่ะลงทุนทั้งนั้นน่ะ นี่ไง เวลาจะให้คนรักต้องลงทุนทั้งนั้นน่ะ เที่ยวทิ่มเที่ยวตำเที่ยวสอเที่ยวพลอเที่ยวยุเที่ยวแยงเที่ยวตะแคงรั่วนั่นนะทำงานการเมือง จะให้เขารัก หมาที่ไหนมันจะรัก ความลับไม่มีในโลก ช้าหรือเร็วมันต้องคนรู้แน่นอน มันดีไปไม่ได้หรอก
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม โดนทิ่มโดนตำขนาดไหน เวลาเรื่องมันแดงขึ้นมามาขอขมาลาโทษทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาขอขมาลาโทษครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ท่านไม่เคยถือโทษโกรธใครเลยนะเป็นผลของวัฏฏะ คือมันมีเวรมีกรรมต่อกันแล้วเกิดมาพบกัน พอเกิดมาพบกันมันนี่ก็คือกรรมไง กรรมมันให้ผล กรรมมันมีการกระทบกระทั่ง สิ่งที่กระทบกระทั่งกันไปแล้ว เห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะ เราไม่ไปติดข้องกับมัน
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เขาก็ไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้นเขาไม่จองเวรจองกรรม แต่เวลาปฏิบัตินี่เขาเรียกปัจจุบันธรรม ปัจจุบันที่เกิดขึ้น การปัจจุบันนี่คือมันจะแก้ไขได้ไงเช่น หิวกระหายนี่เราดื่มน้ำก็หาย ถ้าเราหิวเราฉันอาหารก็หาย เห็นไหมถ้าง่วงนอนๆนอนก็หาย แล้วถ้ามันไม่ได้นอนมันก็ง่วงนอนต่อไป นี่ไง กรรมก็คือกรรม
แต่ถ้ามันปัจจุบันๆ เห็นไหม เราจะแก้ไขกิเลส เวลาจะมาแก้กิเลส กิเลสก็อยู่ที่ปัจจุบันนี่ไงเวลาที่โดนผลกระทบนี่ไง แล้วมันโกรธไหม ถ้ามีปัญหาไหม มันมีผลกระทบอะไรไหม เราแก้ไขได้ไหม ถ้าเราแก้ไขได้ เห็นไหม เนี่ยธรรมโอสถธรรมโอสถมันจะแก้ไข แก้ไขดัดแปลง พอแก้ไขดัดแปลงถ้ามันสำรอกมันคายของมัน เห็นไหม เวรกรรมสิ้นไปๆ ทั้งหมดเห็นไหม เวรกรรมสิ้นไปทั้งหมด เวลาแก้ไขกิเลสทั้งหมดแล้วจบสิ้นของกิเลส พ้นจากกิเลสไปๆ
นี่ไง มันสำคัญสำคัญตรงปัจจุบันนี่ปัจจุบันที่แก้ไขปัจจุบันที่คนจะมาพลิกแพลงนี่แล้วปัจจุบันที่เขาจะแก้ไขนี่มันควรจะราบรื่นแล้วถ้ามันมีการกระทบกระเทือน เห็นไหม ความจริงสู้กิเลส กิเลสมันก็ใหญ่โตอยู่แล้วกิเลสในใจของเรามันใหญ่โตมาก มันเหยียบหัวใจเรานี่แบนแต๊ดแต๋อยู่แล้วนี่เราก็พยายามจะงัดกับกิเลสอยู่นี่แล้วไอ้ภัยข้างนอกมันยังโถมเข้ามานี่ เห็นไหม
โลกธรรม๘ เห็นไหม สิ่งที่มันกระทบกระเทือนมานี่ไอ้เรา กิเลสเรามันก็แย่อยู่แล้วทำไมต้องให้คนอื่นมากระทบกระเทือนอีกล่ะนั้นนะที่ไปซ้ำเติมเขานี้ไง ถ้ามันไปซ้ำเติมนี่ผลกระทบมันกระทบอย่างนี้ไงแต่ถ้าเรามีแต่ความสามัคคีเรามีแต่ความรื่นเริง เรามีแต่โอกาสมีจิตใจที่เป็นสุภาพบุรุษเห็นไหม เปิดโอกาสให้เลยนะใครจะนั่งตลอดรุ่ง ใครจะทำสิ่งใดเราจะช่วยกันดูแล ช่วยกันเจือจาน เขาช่วยกันนะ นี่แล้วมีน้ำใจต่อกันด้วย
เว้นไว้แต่พูดเล่นพูดหัวคนที่เป็นบัดดี้กันนี่เขาจะพูดแหย่พูดเล่น การว่าพูดเล่นนั่น อีกเรื่องหนึ่งนะเวลาเราจะเล่นเขาเล่นตอนที่เวลาเล่น เขาไม่ได้มาเล่นตอนปฏิบัติ นี่ดูสิ ที่ว่าหลวงปู่ขาวกับหลวงปู่แหวนเป็นบัดดี้กันเวลามาลาหลวงปู่มั่นมาปฏิบัติสุดท้ายแล้วหลวงปู่ขาวหรือหลวงปู่แหวนนั่งภาวนา อีกองค์หนึ่งทำข้อวัตรกวาดมาไง ไอ้ที่นั่งอยู่นะ โอ้โฮเราก็เป็นเพื่อนรักกันเลยนะ มาด้วยกันแท้ๆ เลยน่ะ นั่งปฏิบัติอยู่นี่ทำไมมากวาดแกล้งกันอย่างนี้แน่ะ โกรธ ในใจมันขุ่นขึ้นมาแล้วลุกไอ้พระหลวงปู่แหวนหรือหลวงปู่ขาวที่ท่านกวาดมาพอกวาดมาๆเห็น อ้าว เพื่อนปฏิบัติไม่รู้ รีบกลับเลยนะ กลับไปนั่งภาวนาบ้าง ไอ้ทางนี้ไปถึงกวาดใหญ่เลย กวาดใหญ่
นี่ไง บัดดี้เพื่อนกันนะเวลาพูดเล่นพูดหัวอย่างนี้ ไอ้นี่มันสุดวิสัย เราไม่ได้ตั้งใจ อีกองค์หนึ่งบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ๆ ก็เลยกวาดเห็นไหม ถึงเวลากวาดแล้วก็กวาดมาเลย อีกองค์นั่งภาวนาอยู่ ไอ้ที่นั่งภาวนาอยู่ด้วยความรู้สึกเรานะถ้าเรารักใครเราก็หวังว่าเขารักเรา แล้วถ้าเขารักเรา เห็นไหมเรารักเขา เรามีน้ำใจต่อเขาแล้วเราทำความดีอยู่นี่ แล้วทำไมเขามากลั่นแกล้ง นี่คิดอย่างนั้นนะทำไมมากลั่นแกล้ง ไอ้คนที่กวาดมาก็ เอ้อก็กวาดมาโดยไม่รู้ พอเห็นก็โอ๊ะ เขาภาวนาอยู่ รีบเลย รีบกลับ กลับไปกุฏิไปนั่งภาวนาบ้าง ไอ้ทางนี้ไปไม้ไปกวาดเลยน่ะ ซัดใหญ่เลย
สุดท้ายแล้วกลับไปหาหลวงปู่มั่นหลวงปู่มั่นท่านเทศน์เลย ไหนว่าไปวิเวกด้วยกัน ไหนว่าไปปฏิบัติด้วยกันไปด้วยกันแล้วไปผิดใจกันอย่างไร ไปกระทบกระเทือนกันอย่างไร นี่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง มันมีทั้งนั้นน่ะ เวลาเราพูดเล่นพูดหัว เวลาเราเล่นเราก็เล่นด้วยการเล่นกัน แต่ถ้าเป็นความจริงๆ น่ะ เวลาปกตินะ เวลาเป็นปกติเราควรให้โอกาสต่อกันไม่ควรที่จะไปพูดให้อีกคนเก็บไปคิด
คนๆหนึ่งเก็บไปคิดเก็บไปเสียเวลานี่ สิ่งนี้มันร้ายกาจเหมือนยาพิษ ยาพิษไปวางยาใครแล้วนะ ยาพิษกว่าจะคายได้ เหมือนคนฆ่าตัวตายเวลากินยาไปล้างท้องนั่นน่ะล้างท้องกว่ามันจะออก ไอ้นี้ยาพิษมันเข้าไปในใจแล้วนี่ กว่ามันจะปลดเปลื้องได้กว่ามันจะบรรเทาได้ ทุกข์เกือบตาย แล้วเราก็ไปวางยาพิษ วางยาพิษคนอื่นไปเรื่อยบาปกรรมอันนี้จะทำให้ชีวิตมอดไหม้ ความเจริญข้างหน้าหาได้ยาก แล้วเวลาเกิดไปภพหน้าต่างๆ นะเวลาเราทำเวรทำกรรมต่อละเรื่องอย่างหนึ่ง
ดูเจ้าหน้าที่สิ เจ้าหน้าที่ทำความผิดนี่โทษ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เวลาฆราวาสเขาทำความผิดก็เรื่องหนึ่ง นี่เราเป็นภิกษุนะ เป็นนักรบ เป็นเจ้าหน้าที่แล้วทำความผิดกัน พยายามทำให้หัวใจมันเศร้าหมองไปเรื่อยๆ ไร้สาระมากเลย ดูแล้วมันแบบว่าสังเวชน่ะ มันสังเวชมาก เพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเห็นภัยในวัฏสงสาร มาบวชเพื่อจะพ้นจากทุกข์ แล้วเรื่องอย่างนี้ทำไมเก็บเอามาเป็นปัญหาได้ เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องความดำรงชีวิต เรื่องประจำวัน ไม่ใช่เรื่องภาวนาไปเจอกิเลสอะไรเลยนะ เรื่องชีวิตประจำวัน แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็วางข้อวัตรไว้แล้วให้เข้าสู่ระบบ แล้วอยู่ในระบบแล้วนี่แล้วก็จบแล้ว แล้วดัดแปลงมัน ข่มขี่มัน สติต่อสู้กับมัน อย่าแฉลบอยู่ตรงนี้ ทำหน้าที่ อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น อย่าแฉลบออกไป อยู่ตรงนี้ทำตรงนี้ของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี
ถ้ามันมีสติมีปัญญา เห็นไหม บังคับๆ แล้วเราจะชนะตนเอง ชนะเราไปเรื่อย เห็นไหม เป็นที่อยู่ของใจๆ เป็นเครื่องอยู่ให้เรามั่นคงแข็งแรง แล้วสุขภาพจิตแข็งแรงขึ้นมานี่ แล้วต่อไปมันจะเห็นโทษ เห็นโทษตรงที่ว่า โอ้โฮ ถ้าเราพูดออกไปเขาต้องก็โกรธเรา ถ้าเราทำออกไปกระทบกระเทือนกัน เวลามันผ่านไปแล้วมาพิจารณานะมันจะเห็นโทษหมดเลย แต่ถ้ายังพิจารณาไม่เป็นนะ เลวร้ายมาก ถ้าเลวร้ายมากนะ เพราะใจมันปลิ้นปล้อน ดีแต่ปากๆ ทำให้เสียหายมาก
แต่ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ธรรมะจากพระโอษฐ์ ธรรมะจากปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปากที่เป็นธรรม ปากที่สะอาดบริสุทธิ์จะเป็นคุณประโยชน์แก่สามโลกธาตุ เอวัง